วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 9 E-Government

บทที่ 9
E-Government


E-government หรือ รัฐอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วยหลักการที่เป็นแนวทาง 4 ประการคือ 
          1.สร้างบริการตามความต้องการของประชาชน 
          2.ทําให้รัฐและการบริการของรัฐเข้าถึงได้มากขึ้น
          3.เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยทั่วกัน
          4.มีการใช้สารสนเทศที่ดีกว่าเดิม

E-government คือ วิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลงานของภาครัฐ และปรับปรุงการบริการแก่ประชาชน และการบริการด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และทําให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับรัฐมากขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้งานเพื่อเพิ่มศักยภาพของการเข้าถึง

การให้บริการของรัฐ โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มคน 3 กลุ่ม คือ
          - ประชาชน 
          - ภาคธุรกิจ
          - ข้าราชการ

ผลพลอยได้ที่สําคัญที่เราจะได้รับคือ
          ความโปร่งใสที่ดีขึ้น อันเนื่องมากจากการเปิดเผยข้อมูลที่หวังว่าจะนําไปสู่การช่วยลดการคอรัปชั่น



E-government เทียบกับ E-commerce 
          คือ G-to-G1 Transaction มีลักษณะเป็น intranet ที่มีระบบความปลอดภัย เพื่อทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานของรัฐ  ปัจจุบัน e-government นํากลวิธีของ e-commerce มาใช้ในการทําธุรกิจของภาครัฐ เพื่อให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ ส่งผลให้เกิดการบริการแก่ประชาชนที่ดีขึ้น การดําเนินธุรกิจกับภาคเอกชนดีขึ้น และทําให้มีการใช้ข้อมูลของภาครัฐอยางมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

E-government เทียบกับ E-services 
          คือB-to-G2 และ G-to-C3 Transaction เป็นการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการให้บริการโดยภาคธุรกิจกับประชาชน หรือผู้รับบริการ  e-government กับ e-services มีความเกี่ยวพันกันมาก กล่าวได้ว่า e-government เป็นพื้นฐานของ e-services เพราะการให้บริการของรัฐต่อประชาชนนั้น มีความจําเป็นที่จะต้องมีเครือข่ายภายในระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองที่มีความปลอดภัย และทําให้องค์กรสามารถแลกเปลี่ยนสารสนเทศกันได้

E-Government จะเป็นแบบ G2G G2B และ G2C
          คือ ระบบต้องมีความมั่นคงปลอดภัยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ และประชาชนมีความอุ่นใจในการรับบริการ และการชําระเงินค่าบริการ ธุรกิจก็สามารถดําเนินการค้าขายกับหน่วยงานของรัฐด้วยความราบรื่น อินเทอร์เน็ตจึงเป็นสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สําคัญในการให้บริการตามแนวทางรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์


1. รัฐกับประชาชน (G2C)
          เป็นการให้บริการของรัฐสู่ประชาชนโดยตรง โดยที่บริการดังกล่าวประชาชนจะสามารถดําเนินธุรกรรมโดยผ่านเครือข่ายสารสนเทศของรัฐ 
          เช่น การชําระภาษี 
                  การจดทะเบียน 
                  การจ่ายค่าปรับ 
                  การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน 
                  การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแทนประชาชนกับผู้ลงคะแนนเสียง
                  การค้นหาข้อมูลของรัฐที่ดําเนินการการให้บริการข้อมูลผ่านเว็บไซต์

2. รัฐกับเอกชน (G2B)
           เป็นการให้บริการของภาคธุรกิจเอกชน โดยที่รัฐจะอํานวยความสะดวกต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันกันด้วยความเร็วสูง มีประสิทธิภาพ และมีข้อมูลที่ถูกต้องอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส
           เช่น การจดทะเบียนทางการค้า 
                   การลงทุน และการส่งเสริมการลงทุน 
                   การจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์ 
                   การส่งออกและนําเข้า 
                   การชําระภาษี
                   การช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก

3. รัฐกับรัฐ (G2G)
           เป็นรูปแบบการทํางานที่เปลี่ยนแปลงไปมากของหน่วยราชการที่การติดต่อสื่อสารระหว่างกันโดยกระดาษและลายเซ็นต์ในระบบเดิม ในระบบราชการเดิมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยการใช้ระบบเครือข่ายสารสนเทศ และลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นทางการเพื่อเพิ่มความเร็วในการดําเนินการ (Economy of Speed) ลดระยะเวลาในการส่งเอกสารและข้อมูลระหว่างกัน
           เช่น ระบบงานสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ 
                   ระบบบัญชี และการเงิน
                   ระบบจัดซื้อจัดจ้างด้วยอิเล็กทรอนิกส์

4. รัฐกับข้าราชการและพนักงานของรัฐ (G2E)
           เป็นการให้บริการที่จําเป็นของพนักงานของรัฐ (Employee) กับรัฐบาล โดยที่จะสร้างระบบเพื่อช่วยให้เกิดเครื่องมือที่จําเป็นในการปฏิบัติงาน และการดํารงชีวิต 
           เช่น ระบบสวัสดิการ 
                   ระบบที่ปรึกษาทางกฎหมาย และข้อบังคับในการปฏิบัติราชการ 
                   ระบบการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ



วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 8 E-marketing (Part2)

บทที่ 8 
E-marketing (Part2)

Search Engine Marketing


ทําไมต้องใช้ Search Engine?
          - จากข้อมูลของ Wall Street Journal ได้บอกไว้ว่า 85%ของผ้ใช้งานอินเตอร์เน็ตทั่วโลก ใช้ Search Engine 
          - 87%ของผ้ใช้งานอินเตอร์เน็ต จะหาเว็บไซต์จาก Search Engine (ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจาก Georgia Tech)
          - 70% ของการซื้อขายอีคอมเมิร์ซเริ่มต้นจากการใช้เสิร์ชค้นหา (Source: Forrester/IAB)


Search Engine ทํางานยังไง ?


รูปแบบของ Search Engine
          - Natural Search Engine Optimization (SEO) การค้นหาการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกธรรมชาติ
                 คือเป็นการปรับแต่ง Key Word ให้ตรงกับเว็บไซต์ เมื่อมีการค้นหาผ่าน Search Engine ชื่อเว็บจะแสดงอยู่ในหน้ารายการของเว็บที่ค้นเจอ
                 ข้อดี
                   - ฟรีTraffic 
                   - ผู้ชมจะคลิกในส่วนนี้สูงถึง 60-70% 
                 ข้อเสีย
                   - ใช้เวลานานในการขึ้นอันดับ
                   - สามารถเลือกจํานวน keyword ได้จํากัดแค่2-5 คําต่อเนื้อหาหนึ่งหน้าของเว็บเพจ
                   - ไม่สามารถรักษาสถานะของอันดับได้แน่นอน
                   - ไม่สามารถวัดค่า ROI ที่แน่นอนใช้เวลานานกวาจะรู้ผลของแต่ละคํา

          - Paid Search Advertising (Pay Per Click Advertising) จ่ายค้นหาโฆษณา
                 เป็นการโฆษณาแบบจ่ายเงินเพื่อทําให้เว็บของคุณ แสดงเมื่อมีการค้นหาใน Key Word ที่คุณกําหนดไว้
                 ข้อดี
                   - พร้อมใช้ในเวลาไม่ถึง 15 นาที
                   - แม้ว่า Search Engine จะเปลี่ยนแปลงการจัดใหม่ อันดับของคุณจะคงที่อยู่เสมอ
                   - สามารถเลือกจํานวน keyword ได้ไม่จํากดั
                   - ควบคุมค่าใช้จ่าย และสามารถวัดค่า ROI ได้แม่นยําและใช้เวลาไม่นาน
                 ข้อเสีย
                   - ต้องเสียเงินทุกครั้งเมื่อมีคนคลิกAd
                   - ต้องใช้ทักษะที่ค่อนข้างสูงในการบริหารAd


E-Mail Marketing การตลาดผานอีเมล์ 
         1. สร้าง Mail Marketing ของตัวเอง
         2. ไปยืมรายชื่อคนอื่นๆส่ง BlanketMail.com, Briefme.com, Colonize.com, MailCreations.com, TargetMails.com
         3. ยิงมั่ว หรือ SPAM
         4. ไปดูด Email จากแหล่งต่าง website, search engines, whois database



วิธีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์-Online
         - ส่ง MSN, ICQ หาเพื่อนๆ แล้วให้ส่งต่อ
         - โปรโมตธุรกิจบนเว็บบอร์ดหรือ Community ต่างๆ
         - ลงทะเบียนใน Web Directory, Search Engine
         - ไปเขียนบทความที่อื่นๆ แล้วทํา link กลับมา
         - มีบริการทดลองใช้ฟรี หรือ มีการรับรองผล
         - แจ้งผู้เข้าเยี่ยมชมเมื่อ เว็บปรับปรุงใหม่
         - ให้ดาวน์โหลด ฟรี.!
         - ไปลงชื่อใน guest book ของเว็บอื่นๆ
         - สร้างสิสันในเทศกาลต่างๆ ในเว็บไซต์
         - ระบบสมาชิกแนะนําสมาชิก Affiliate/ reseller/ associate program
         - แจกฟรี E-Mail ภายใต้ชื่อเว็บตัวเอง 
         - ให้คอมมิชชั่นกับเว็บอื่นที่โฆษณาหรือขายสินค้าให้เรา
         - แจกรางวัลผู้มาเยี่ยมชม หรือบัตรกานัลออนไลน์
         - จัดประกวดหรือ แข่งขันต่างๆ ภายในเว็บ
         - หมั่นคอยส่ง Mailing List หาสมาชิก
แบบฟรี.!
        - นํา URL ไปติดไว้ทุกที่ที่ติดได้ นามบัตร, หัว-ซองจดหมาย, ที่อยู่บริษัท
        - ติดสติกเกอร์หลังรถตัวเอง, เพื่อน, ญาติพี่น้อง, คนรู้จักและ ไม่รู้จัก
        - คูปองส่วนลดพิเศษ
        - ให้ผลงานคุณกบคนอื่นๆ ฟรี.! (เขียนบทความ, การ์ตูน, ภาพต่างๆ)
        - ร่วมมือกับพันธมิตร (Partner)
        - เข้าสังคมคนทําเว็บหาเพื่อน (สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย www.webmaster.or.th)

Raid Marketing (การตลาดแบบจู่โจม)
         - ใช้คนเป็นจํานวนมากในการเข้าไป “สร้างกระแส” ตามแหล่งต่างๆ ที่มีคนเยอะ
         - ใช้ความเป็น “ส่วนตัว” เข้าไปสร้างกระแสสังคมใน Virtual Community

รูปแบบรายได้จากการทําเว็บไซต์
          1. ขายโฆษณาออนไลน์
          2. ขายสินค้า E-Commerce
          3. ขายบริการหรือสมาชิก
          4. ขายข้อมูล (Content)
          5. การจัดกิจกรรม, งาน
          6. การให้บริการผ่านโทรศัพท์มือถือ
          7. การรับพัฒนาเว็บไซต์


การแนะนําสินค้า (Advertorial)
1.การทําโพล หรือ แบบสํารวจออนไลน์
          ใช้ฐานลูกค้าของเว็บไซต์นั้นๆ เป็นผู้ทําแบบสํารวจผ่านเว็บไซต์
2.ขายสินค้าทํา E-Commerce
          การขายสินค้าผ่านหน้าเว็บ โดยคุณอาจจะมีสินค้าหรือไม่มีสินค้าก็ได้ เช่น notebook, Application
3.การขายบริการหรือสมาชิก
         ให้บริการเช่าแอพพิลเคชั่น (ASP), การขายบริการที่ดีกว่า
4.ขายข้อมูล
         ค่าเข้าไปดูข้อมูลในเว็บไซต์ รูปภาพหรือข้อมูล, จํากัดการเข้าดู
5.จัดกิจกรรมและงาน
         งานสัมมนา, งานสอน, การแข่งกีฬา การนัดพบปะสังสรรค์
6.การให้บริการผ่านมือถือ
         SMS, Logo-Ringtone, 1900
8. การรับพัฒนาเว็บไซต์
         ใช้ความรู้ที่มีในการรับพัฒนาเว็บไซต์ มาให้บริการ
             • ออกแบบเว็บ (Web Design)
             • เขียนโปรแกรม (Web Programming)
             • ดูแลเว็บ (Web Maintenance)
             • การตลาดออนไลน์ (Web Marketing)
             • ที่ปรึกษา (Consultant)
          อาจนําทั้งหมดมาทําเป็น Package



6 Cs กับความสําเร็จของการทําเว็บ
         1.Content (ข้อมูล)
             - ข้อมูลใหม่สดเสมอ
             - ข้อมูลมีความถูกต้อง
             - อ้างอิงถึงแหล่งที่มาของข้อมูล
             การจัดการและบริหารข้อมูล (Content Management )
                 1. เว็บไซต์ที่มีข้อมูลไม่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย (Static Content)
                 2. เว็บไซต์ที่เปลี่ยนแปลงข้อมูลอยูเสมอ (Dynamic Content)
             รูปแบบของการหาข้อมูลมาไว้ในเว็บไซต์มี 3 รูปแบบใหญ่ๆ ได้แก่
                 1.ทางผู้จัดทําเว็บไซต์เป็นคนผลิตข้อมูลขึ้นมา (Self Feeding) 
                 2.ข้อมูลมากจากผู้เข้ามาใช้บริการ (User Feeding) 
                 3.ข้อมูลมากจากพันธมิตร (Partner Content)

          2.Community (ชุมชน,สังคม)
             คือ การรวมตัวของกลุ่มคนจํานวนหนึ่ง ที่อยู่ร่วมกันภายใต้สถานๆหนึ่ง โดยการพูดคุยหรือกิจกรรมร่วมกันภายในสถานที่แห่งนั้น
             องค์ประกอบในการสร้าง Community ในเว็บไซต์ของคุณ
                 1.เว็บบอร์ด (Web Board)
                 2. พิกโพสต์ (Pic Post) 
                 3. ไดอารี่หรือ บล็อก (Diary or Blog) 
                 4. ข่าว (News) + Web Board 
                 5. รวมลิงค์เว็บไซต์
                 6. ห้องแช๊ตรูม (Chat Room)

          3.Commerce (การค้าขาย)
             หรือ การทําการค้าขายผ่านเว็บไซต์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้กับเว็บไซต์ได้ 
                 การหาสินค้ามาขายผ่านหน้าเว็บ
                  - การซื้อสินค้ามาเก็บไว้ 
                  - การนําสินค้าจากแคตตาล๊อกมาขาย (จับเสือมือเปล่า) 
                  - การนําสินค้าจากพันธมิตรมาขาย www.thaisecondhand.com/promotion

          4.Customization (การปรับให้เหมาะสม)
             คือ รูปแบบการให้บริการที่สามารถปรับแต่งการใช้งานให้มีความเหมาะสมกับผู้ใช้บริการภายในเว็บไซต์
                  •การปรับแต่งข้อมูลเพื่อการบริการ (Service)  http://my.MSN.com
                  • การปรับแต่งสินค้าเพื่อการค้า (Commerce) www.Nike.com
                  • การเก็บข้อมูลของลูกค้าเพื่อการนําเสนอข้อมูล (Information) www.Amazon.com

          5.Communication, Channel (การสื่อสารและช่องทาง)
             คือ ช่องทางในการสื่อสารและติดต่อกับผู้ใช้บริการในเว็บไซต์ของคุณ เช่น
                  -โทรศัพท์มือถือ เช่น บริการผ่าน WAP, บริการข้อมูลผ่าน SMS
                  - PDA 
                  - ทางโทรศัพท์ปกติ

          6.Convenience (ความสะดวกสบาย)
             การใช้งานง่าย (Usability)
                  1. "ดู"ง่าย
                        • การวางรูปแบบ (Layout) 
                        • รูปภาพ และไอค่อน ( Image & Icon) 
                        • ขนาดตัวอักษร (Font) และการจัดหน้า
                        • การออกแบบระบบนําทางที/ดี (Navigation) 
                        • มี Site map ในเว็บ 
                  2. "เรียนรู้" ได้ง่าย (easy to learn) 
                  3. "จดจํา" วิธีการใช้งานได้ง่าย 
                  4. "เข้าถึง" ได้ง่าย
                  5. ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ (efficient to use) 
                  6.การเจอปัญหาและการแก้ไข (Help & FAQ)

บทที่ 8 E-marketing (Part1)

บทที่ 8
E-marketing (Part1)
           E-Marketing “การตลาดอิเล็กทรอนิกส์” หมายถึงการดําเนินกิจกรรมทางการตลาดโดยใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ทันสมัยและสะดวกต่อการใช้งาน เข้ามาเป็นสื่อกลาง โดยถูกเชื่อมโยงเข้ากับอินเทอร์เน็ต เพื่อนำมาผสมผสานกับวิธีการทางการตลาด และในการดําเนินกิจกรรมทางการตลาด อย่างลงตัวกับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย 

วัตถุประสงค์ของโครงสร้างการทํา E-marketing Plan เพื่อ
          - Cost reduction and value chain efficiencies คือกาลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่คุณค่า
          - Revenue generation คือการสร้างรายได้
          - Channel partnership คือช่องทางการเป็นห้างหุ้นส่วน
          - Communications and branding คือการสื่อสารและการสร้างแบรนด์

Marketing defined (การตลาดที่กำหนดไว้)
          การตลาดเป็นกระบวนการบริหารจัดการ ความรับผิดชอบในการระบุถึงสิ่งที่คาดการณ์ไว้ 
และความต้องการของลูกค้าที่น่าพอใจ และทำให้มีกำไร




E-marketing planning
          - การวางแผนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาดของกลยุทธ์การทํา e – business
          - ขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับ E-marketing planning  มี 6 ขั้นตอน คือ 
                  1.Situation – where are we now? (สถานการณ์ - ที่ที่เราอยู่ตอนนี้) คือการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม วิเคราะห์ตนเอง คือการรู้จักตนเองรู้จักคู่แข่งขัน
                  2.Objectives – where do we want to be? (วัตถุประสงค์ - สิ่งที่เราต้องการจะทำ) คือการตั้งเป้าหมายในสิ่งที่เราต้องการจะทำ
                  3.Strategy – how do we get there? (กลยุทธ์ - เราจะทำอย่างไร) คือการทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
                  4.Tactics – how exactly do we get there? (กลยุทธ์ - วิธีการที่เราจะใช้) คือ การวางแผนว่าเราจะใช้วิธีการใดในการทำเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
                  5.Action – what is our plan? (การกระทำ - สิ่งที่เป็นแผนของเรา) คือการกำหนดว่า ใครเป็นคนทำ ทำอย่างไร ทำเมื่อไหร่
                  6.Control – did we get there? (ควบคุม - สิ่งที่เราได้รับ) คือการตรวจสอบว่าสิ่งที่ได้ทำไปแล้วนั้นบรรลุเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่



ข้อดีของ E-Marketing เมื่อเทียบกบสื่ออื่น
          1.เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากกว่า800 ล้านคน225 ประเทศ104 ภาษา
          2.สามารถวัดผลได้แม่นยํากว่าสื่ออื่น
          3.ราคาลงโฆษณาถูกกว่าเมื่อเทียบกับสื่ออื่น
          4.จํานวนผู้ใช้สื่อนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
          5.คุณภาพของผู้ใช้มีมากกว่าสื่ออื่น

รูปแบบของ E-Marketing
   1.Click and Click เป็นการให้บริการบนอินเทอร์เน็ตอยางเดียว ไม่มีธุรกิจในโลกจริง
          ข้อดี
           - ต้นทุนตํ่ำใช้คนน้อย(คนเดียวก็ทําได้)
           - เริ มต้นได้ง่าย
           - เปิดกว้างมากกว่า
           - ไม่ต้องมีความชำนาญมากก็เริ่มทําได้
         ข้อเสีย
           - ขาดความชานาญ
           - สร้างฐานลูกค้าใหม่
           - รองรับลูกค้า Online ได้อย่างเดียว
           - ความน่าเชื่อถือน้อย

   2.Click and Mortar เป็นรูปแบบที่มีธุรกิจจริง (Real) อยู่แล้ว แต่ขยายมาทําในอินเทอร์เน็ตด้วย
          ข้อดี
            - มีความเชียวชาญ
            - มีลูกค้าอยู่แล้ว
            - น่าเชื่อถือ
            - รองรับลูกค้าได้ online และ Offline
          ข้อเสีย
            - ต้นทุนสูง ใช้คนมาก
            - ใช้เวลาในการจัดทำ
            - การทํางานต้องยึดติดกับบริษัท


การเริ่มต้นการตลาดออนไลน์
          1.กำหนดเป้าหมาย
             - เป้าหมายในการทําเว็บ คุณทําเว็บไปทําไม?
             - กลุ่มเป้าหมายของคนที่จะเข้าเว็บคุณคือใคร ? 
             - จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส อุปสรรค (SWOT Analysis)
             - แหล่งรายได้ของเว็บไซต์
             - จุดเด่น หรือจุดแตกต่าง (Differentiate) ของคุณกับเว็บอื่นๆ
          2.ศึกษาคู่แข่ง
             - คู่แข่งคุณคือใคร? 
             - ศึกษารูปแบบการทําเว็บ, ธุรกิจของคู่แข่ง
             - จุดเด่น-จุดอ่อนอะไรบ้าง 
             - ศึกษาเคาเตอร์ (Stat) ของคู่แข่ง
             - เข้าร่วมเว็บบอร์ดของคู่แข่ง (ศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้ ชอบไม่ชอบอะไร)
             - บอกรับจดหมายสมาชิกของคู่แข่ง
             - ขอข้อมูลที่เกียวข้องกับเว็บไซต์ (ราคาโฆษณา, สถิติ)
             - เข้าชมเว็บคู่แข่งเป็นประจํา
          3.สร้างพันธมิตร
             - เว็บคู่แข่ง
             - บุคคลหรือองค์กรที่อยูในแวดวงธุรกิจเดียวกนั
             - เว็บอื่นๆ ที่สามารถร่วมมือกันได้
             - กับผู้เข้าชมเว็บไซต์
          4.ติดตั้งอุปกรณ์ที่จําเป็น
             - เคาเตอร์วัดจํานวนคนเข้า
             - ตัวเก็บสถิติ (Stat)
             - เว็บบอร์ด
             - Guest Book
             - ตัวเก็บนับจํานวนคนในเว็บไซต์ขณะนั้น
             - ห้าม Save ภาพในหน้าเว็บนั้น
          5.ดูแลและปรับปรุงเว็บไซต์
             - ศึกษาพฤติกรรมของผู้ใช้, คู่แข่ง, ตลาด, สภาพแวดล้อม, เทคโนโลยี
             - เปิดรับความคิดเห็นจากผู้ใช้
             - ปรับปรุงเว็บไซต์อยูเสมอ

เว็บเล็กๆเริ่มต้นอย่างไร
          - โฟกัสกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน เว็บเล็กแต่มีคุณภาพ (Niche Market) ถ้าเหมือนต้องทําให้ “ดีกว่า”
          - สร้างความแตกต่างให้ชัดเจน (Differentiate)
          - เริ่มต้นทําเป็นเจ้าแรก (First Mover) Move Fast
          - สร้างสังคมให้เกิดขึ้น (Community)
          - สร้างบริการต่างๆ ให้ตรงใจกับลูกค้า (Stickiness)
          - PR ตรงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน (Offline+Online)

การสร้างเอกลักษณ์ของเว็บไซต์ (Web Identity)
          การสร้างให้คนรู้จักและจดจําBrand ของเว็บไซต์คุณก็เหมือนกับการสร้างความค้นเคยของลูกค้าที่มีต่อเว็บไซต์ของคุณ 
            - การวางคอนเซพท์ของตัวเว็บไซต์
            - สไตล์การเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ 
            - มีความสอดคล้องกับแบรนด์สินค้าหรือบริการหลัก
            - ลักษณะการออกแบบเว็บไซต์ (การใช้สีสัน, การวางรูปแบบบหรือเลย์เอาท์, การใช้โลโกที่มีความโดดเด่น)

การประชาสัมพันธ์เว็บไซต์
          1.วิธีการออนไลน์ (Online)
            - Banner Advertising
            - Search Engine Advertising
            - E-mail Advertising
            - Viral Marketing
            - E-Marketplace Marketing
            - วิธีอื่นๆ
          2.วิธีการออฟไลน์ (Offline)
            - แบบฟรี
            - แบบเสียเงิน

วิธีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์-Online
          - จัดทําโฆษณาแบนเนอร์โฆษณาตามเว็บไซต์กลุ่มเป้าหมาย
          - แลกลิงค์กับเว็บอื่นๆ (เขียนเมล์ไปขอ) –Barter Banner
          - ทํา Code สําหรับแจก-แลก Banner (ทํา Banner หลายๆ ขนาด)

วิธีการออกแบบแบนเนอร์ให้ได้ผล
          1. ขนาดยิ่งใหญ่ยิ่งมีโอกาสการคลิกเยอะ
          2. เปลี่ยนแบนเนอร์บ่อย
          3. ใช้คําพูดที่จูงใจ ดึงดูดในแบนเนอร์ เช่น “กดที่นี่” “โอกาสสุดท้าย”
          4. ฟรี.! ยังเป็นคําที่มีอนุภาคมากที่สุด
          5. การใช้ภาพเคลื่อนไหวจะมีคนคลิกมากกว่าโฆษณาภาพนิ่ง 
          6. การใช้เซ็กซ์ ช่วย.. ยังไงคนก็สนใจ
          7. ใช้สีสันโดดเด่นจะมีคนสนใจมากกว่าการใช้สีดํา
          8. การออกแบบที่ดี 
          9. ขนาดไฟล์ของแบนเนอร์ไม่ควรใหญ่จนเกินไป
         10.ทําลิงค์ไปหน้าที่ต้องการหลังจากกดแบนเนอร์
         11.ทดสอบแบนเนอร์ก่อนขึ้นจริงๆ

บทที่ 7 Supply chain management (ส่วนที่2)

บทที่ 7 
Supply chain management : SCM 
            Supply chain management คือ ระบบที่จัดการการบริหารและเชื่อมโยงเครือข่ายตั้งแต่  suppliers, manufacturers, distributors เพื่อส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าโดยมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูล วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้าด้วยกัน เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ตรงตามเวลาและความต้องการ

ขั้นตอนวิวัฒนาการของระบบซัพพลายเชน
            การกําเนิดระบบการบริหารซัพพลายเชนมีต้นแบบมาจากการส่งลําเลียงเสบียงอาหารและอาวุธยุโธปกรณ์ตามระบบส่งกําลังบํารุงของทหารในช่วงสงคราม ซึ่งจะต้องจัดส่งให้เพียงพอกับความต้องการ ถูกต้องและตรงเวลา จึงจําเป็นต้องอาศัยการวางแผนจัดลําดับก่อนหลังและรักษาประสิทธิภาพในการสื่อสารที'รวดเร็วและแม่นยํา ดังนั้นจึงได้นำความคิดนี้มาพัฒนาและดัดแปลงให้กับธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรมเพื'อมุ่งสร้างคุณค่าและความพึงพอใจแก่ลูกค้าด้วยต้นทุนที่ลดลง 
           
            ระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนบริหารซัพพลายเชน 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน The Baseline Organization
             ระยะนี้เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมโดยเน้นความชำนาญในการทำงานของแต่ละแผนก/ฝ่าย มีการทำงานแยกจากกัน การดำเนินงานของแต่ละฝ่ายมีความอิสระไม่เกี่ยวข้องกัน
ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน The Functionally Integrated Company 
            ระยะนี้องค์กรจะเริ่มจัดตั้งเป็นบริษัท โดยในองค์กรได้มีการรวบรวมหน้าที่ /ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันไว้ในกลุ่มงาน/ฝ่ายเดียวกัน ซึ่งจะไม่มีแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกจากันอย่างเด็ดขาดเหมือนระยะแรก
ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน The Internally Integrated Company
            ระยะนี้องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของตนอย่างต่อเนื่องจากระยะที่ 2 โดยฝ่ายต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทําให้มีการติดต่อประสานงานเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายงานมากขึ้นการทํางานจึงมีความต่อเนื่องกันเหมือนห่วงโซ
ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน The Externally Integrated Company 
            ระยะนี้เป็นระยะที่บริษัทก้าวเข้าสู่รูปแบบการบริหารแบบซัพพลายเชนอย่างเต็มตัว โดยให้ความสําคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอก มีการเข้าไปทํางานร่วมกับซัพพลายเออร์ในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการทํางานเดียวกัน เพื่อควบคุมคุณภาพการผลิตวัตถุดิบ คุณลักษณะของวัตถุดิบและวิธีการผลิตวัตถุดิบในโรงงานของซัพพลายเออร์


การบริหารจัดการซัพพลายเชน
            เป็นการจัดการที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคู่ค้าที่เกี่ยวข้องในซัพพลายเชนของเราเป็นสําคัญ ในการพัฒนาศักยภาพของซัพพลายเชนนั้น นอกจากระบบการประสานงานที่ดีภายในองค์กรแล้ว องค์กรจะต้องพิจารณาความสามารถในการประสานระบบงานระหว่างองค์กรใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่
            1. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการระหว่างกลุ่ม suppliers (Supply-management interface capabilities) เพื่อให้ระบบปฏิบัติการโดยรวมมีต้นทุนต่ำที่สุด มีระบบโลจิสติกส์ในการส่งผ่านวัตถุดิบ ผลิต และส่งมอบสินค้าที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสรรค์ระบบการส่งมอบสินค้าที่รวดเร็วตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
            2. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า(Demand-management interface capabilities) เป็นระบบการบริหารจัดการเพื'อการให้บริการที'มีคุณภาพและการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการขาย เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน 
            3. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการสารสนเทศ (Information management capabilities) ระบบสื่อสารระหว่างองค์กรในซัพพลายเชนมีความสําคัญอย่างยิ่ง ต้องมีการวางโครงสร้างพื้นฐานทาง IT พิจารณาวางแผนกับปัญหาในเรื่องการประสานข้อมูลต่างๆ ทั้งในระบบองค์กรและระหว่างองค์กรโดยพัฒนาร่วมกันไปพร้อมๆ กับการวางกลยุทธ


ปัญหาของการจัดการซัพพลายเชน
1. ปัญหาจากการพยากรณ์
             การพยากรณ์ความต้องการสินค้าเป็นสิ่งที่สําคัญมากในการจัดการซัพพลายเชน ซึ่งการพยากรณ์ที่ผิดพลาดมีส่วนทําให้การวางแผนการผลิตผิดพลาด และอาจจะทําให้ผู้ผลิตมีสินค้าไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า
2. ปัญหาในกระบวนการผลิต
            ปัญหาที่เกิดจากกระบวนการผลิตอาจจะทําให้ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามเวลาที่กําหนดไว้
3. ปัญหาด้านคุณภาพ
            ปัญหาด้านคุณภาพอาจจะส่งผลให้กระบวนการผลิตต้องหยุดชะงัก และทําให้ไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ตามที่กําหนดไว้
4. ปัญหาในการส่งมอบสินค้า
            การส่งมอบที่ล่าช้าเกิดขึ นได้ตั้งแต่เรื่องของวัตถุดิบ งานระหว่างทํา และสินค้าสําเร็จรูป ซึ่งอาจะส่งผลกระทบต่อระดับการให้บริการลูกค้าและความสามารถในการแข่งขันของกิจการ
5. ปัญหาด้านสารสนเทศ
            สารสนเทศที่ผิดพลาดมีผลกระทบต่อการจัดการโซ่อุปทาน ซึ่งทําให้การผลิตและการส่งมอบสินค้าผิดไปจากที่กําหนดไว้
6. ปัญหาจากลูกค้า
            ปัญหาที่เกิดจากลูกค้าเป็นความไม่แน่นอนอย่างหนึ่งของโซ่อุปทาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อองค์กร




เทคโนโลยีสารสนเทศในซัพพลายเชน
            เทคโนโลยีในการจัดการซัพพลายเชน จะช่วยจัดการระบบซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพ เช่น การจัดการในเรื่องความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยดําเนินการต่อเนืองตั้งแต่หน่วยต้นทางวัตถุดิบถึงขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการจัดการระบบซัพพลายเชน รวมไปถึงการจัดหาสินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ เทคโนโลยีที่นิยมใช้ในระบบซัพพลายเชน ได้แก่

ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ E-Business หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)
             เป็นการใช้เครืjองมืออิเล็กทรอนิกส์ในกระบวนการทางธุรกิจและการดําเนินงานระหว่างธุรกิจ
กับธุรกิจและระหว่างบุคคลกับธุรกิจ มีการทําธุรกรรมผ่านสืjอต่างๆ ทางอิเล็กส์ทรอนิกส์
ประโยชน์ที่ได้รับจากการทําธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์
                - เกิดการประหยัดต้นทุน
                - ลดการใช้คนกลางในการดําเนินธุรกิจ
                - ลดกิจกรรมที่ไม่จําเป็นระหว่างโซ่อุปทาน
                - ทําให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากสารสนเทศมากขึ้น

การใช้บาร์โค้ด Bar-code
             บาร์โค้ดหรือรหัสแท่ง เป็นสัญลักษณ์ที'อยู่ในรูปของแท่งบาร์ ซึ่งบาร์เหล่านี้จะเป็นตัวแทนของตัวเลขและตัวอักษร สามารถอ่านได้ด้วยเครื่อง Scanner ทําหน้าที่นการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ของสินค้า เพื่อให้สามารถควบคุมการหมุนเวียนของสินค้าโดยรวดเร็วขึ้นไม่ว่าจะเป็นการรับ การจัดเก็บ และการจ่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ EDI : Electronic Data Interchange
             เป็นระบบถ่ายทอดข่าวสารข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งในรูปสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ โดยรูปแบบข่าวสารข้อมูลนั้นจะมีการจัดรูปแบบและมีความเป็นมาตรฐานเดียวกัตามที่ได้ตกลงกันไว้ผ่านเครือข่ายการสื่อสารทําให้เพิ่มความถูกต้องและรวดเร็วในการทํางาน

การใช้ซอฟแวร์ Application SCM
            ในปัจจุบันได้มีการนําซอฟแวร์มาพัฒนาและประยุกต์ใช้งานในปัจจุบัน เช่น
                  - Enterprise Resource Planning (ERP) เป็นซอฟแวร์ที่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้งหมด ทําหน้าที่ประสานงานหลักๆ ในด้านต่างๆ
                  - Advance Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการผลิตและจัดตารางเวลาโรงงานการผลิต ใช้เงื่อนไขข้อจํากัดและกฎเกณฑ์ทางธุรกิจในการปรับตารางให้ดีที่สุด
                  - Inventory Planning วางแผนคลังสินค้าที่จําเป็นในแต่ละจุดเพื่อกระจายการจัดส่งให้ตรงตามความต้องการของตลาด
                  - Customer Asset Management ใช้สําหรับจัดระบบการสื่อสารโต้ตอบกับลูกค้ารวมทั้งระบบขายอัตโนมัติและการให้บริการลูกค้า


บทที่ 6 Supply chain management (ส่วนที่1)

บทที่ 6
Supply chain management

         Supply Chain Management การจัดการห่วงโซ่อุปทาน คือ การจัดการกล่มุของกิจกรรมงาน กล่าวคือ ตั้งแต่การรับวัตถุดิบมาจาก Supplies แล้วเปลี่ยนวัตถุดิบนั้นให้เป็นสินค้าขั้นกลาง และสินค้าขั้นสุดท้าย จนกระทั่งจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า

สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวในกระบวนการผลิตอยู่ 2 สิ่งหลักๆ คือ
         - วัตถุดิบ (Materials)
         - สารสนเทศ (Information)


ประโยชน์ของการทำ SCM
          1. การเคลื่อนไหลของวัตถุดิบและสารสนเทศเป็นไปอย่างราบรื่น
          2. ปรับปรุงระดับของสินค้าคงเหลือ
          3. เพิ่มความเร็วได้มากขึ้น
          4. ขจัดความสิ้นเปลืองหรือความสูญเปล่าต่างๆ ในกระบวนการทางธุรกิจให้หมดไปได้
          5. ลดต้นทุนในกิจกรรมต่างๆ ได้
          6. ปรับปรุงการบริการลูกค้า

การบูรณาการในห่วงโซ่อุปทาน LOGO  (Supply Chain Integration)
          1. การบูรณาการกระบวนการภายในทางธุรกิจให้เป็นแบบไร้รอยตะเข็บ ไร้ความสูญเสีย และมีความยืดหยุ่น ใช้นโยบายการทำงานแบบข้ามสายงาน ลดกระบวนการและขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น
          2. การบูรณาการกับกระบวนการภายนอก นั่นคือ บูรณาการกับกระบวนการของลูกค้าที่สำคัญ และผู้จัดหาวัตถุดิบที่สำคัญให้เข้ากับกระบวนการภายในของบริษัทอย่างมีประสิทธิภาพ และไร้รอยตะเข็บ ซึ่งจะส่งผลให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างยืดหยุ่นและรวดเร็วขณะที่ต้นทุนลดต่ำลง
          3. การบูรณาการทางเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ เพื่อให้การแลกเปลี่ยนและประสานข้อมูลข่าวสารภายในองค์กรและระหว่างองค์กรเป็นไปอย่าง ถูกต้อง รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ


เทคโนโลยีที่นิยมใช้กันได้แก่
          - ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-bussiness)
          - การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange-EDI)
          - การส่งจดหมายทางอิเล็กทรอนิกส์(E-Mail)
          - บาร์โค้ด (Bar Code)
          - การชี้บ่งตำแหน่งด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Identification-RFID)
          - อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต ซอฟท์แวร์การวางแผนทรัพยากรวิสาหกิจ (Enterprise Resource Planning-ERP)

การนำระบบสารสนเทศไปใช้ในการจัดการด้าน Supply Chain
          Supply Chain Management คือ การจัดการเชื่อมกิจกรรมต่างๆที่สัมพันธ์กันระหว่างผู้ผลิต (Supplier) ผู้จัดจำหน่าย(Distributor) และลูกค้า (Customer)
          กลยุทธ์ทางด้าน Supply Chain นั้นคือการพยายามที่จะผูกลูกค้า ผู้ผลิต หรือผู้จัดจำหน่ายกับธุรกิจ เรียกว่า Lock-in Customers หรือ Lock-in Suppliers เพื่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไปทำธุรกิจกับผู้อื่น(Switching Cost) มีสูงขึ้น


วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประเพณีเดือนยี่เป็ง 2556

       
            ประเพณีเดือนยี่เป็งมีความเป็นมาอย่างช้านาน โดยมีประวัติอยู่ว่า คำว่า "ยี่เป็ง" ในภาษาคำเมืองของทางเหนือ "ยี่" แปลว่า สอง และคำว่า "เป็ง" หมายถึง เพ็ญ หรือพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้น จึงหมายถึง ประเพณีพระจันทร์เต็มดวงในเดือนสอง โดยในพงศาวดารโยนกและจามเทวี มีบันทึกว่าครั้งหนึ่งได้เกิดอหิวาตกโรคขึ้นในแคว้นหริภุญไชย (หรือหริภุญชัย)ทำให้ชาวเมืองต้องอพยพไปอยู่เมืองหงสาวดี นานถึง 6 ปี จึงจะเดินทางกลับมายังบ้านเมืองเดิมได้ เมื่อเวลาเวียนมาถึงวันที่จากบ้านจากเมืองไป จึงได้มีการทำกระถางใส่เครื่องสักการบูชา ธูปเทียนลอย ลอยตามน้ำเพื่อให้ไปถึงญาติพี่น้องที่ล่วงลับไป เรียกว่า การลอยโขมด หรือลอยไฟ 
          ประเพณียี่เป็ง จะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 13 ค่ำ ซึ่งถือว่าเป็น "วันดา" หรือวันจ่ายของเตรียมไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัด  ครั้นถึงวันขึ้น  14 ค่ำ พ่ออุ้ยแม่อุ้ยและผู้มีศรัทธาก็จะพากันไปถือศีลฟังธรรม และทำบุญเลี้ยงพระที่วัด มีการทำกระทงขนาดใหญ่ตั้งไว้ที่ลานวัด ในกระทงนั้นจะใส่ของกินของใช้ ใครจะเอาของมาร่วมสมทบด้วยก็ได้ เพื่อเป็นทานแก่คนยากจน และในวันขึ้น 15 ค่ำ จึงนำกระทงใหญ่ที่วัดและกระทงเล็ก ๆ ของส่วนตัวไปลอยในลำน้ำ


          ในงานบุญยี่เป็งนอกจากจะมีการปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์มหาชาติตามวัดวาอารามต่าง ๆ แล้ว ยังมีการประดับตกแต่งวัด บ้านเรือน และถนนหนทางด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้ ตุง ช่อประทีป และชักโคมยี่เป็งแบบต่าง ๆ ขึ้นเป็นพุทธบูชา พอตกกลางคืนก็จะมีมหรสพและการละเล่นมากมาย มีการแห่โคมทองพร้อมกับมีการจุดถ้วยประทีป (การจุดผางปะติ๊ด)เพื่อบูชาพระรัตนตรัย ซึ่งการจุดโคมไฟประดับตกแต่งตามวัดวาอาราม และการจุดโคมลอยปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตามความเชื่อการปล่อยว่าวไฟหรือโคมลอยนี้ เพื่อให้นำเอาเคราะห์ร้าย ภัยพิบัติต่าง ๆ ออกไปจากหมู่บ้าน ดังนั้น ว่าวหรือโคมลอยที่ปล่อยขึ้นไปถ้าไปตกในบ้านใคร บ้านนั้นต้องจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์เพื่อล้างเสนียดจัญไรทั้งปวงออกไป นอกจากนี้ ยังถือกันว่าเป็นการทำเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเพื่อความสนุกสนาน สร้างความสามัคคีกันในหมู่บ้านอีกด้วย


"ปล่อยโคมกันไหม"

            โดยส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้ว  "ประเพณีเดือนยี่เป็ง"  ข้าพเจ้าได้ให้ความสำคัญกับประเพณีเท่าๆกับประเพณีสงกรานต์ และประเพณีอื่นๆ เพราะเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ในทุกปีข้าพเจ้าได้ร่วมงานประเพณีเดือนยี่เป็งเสมอมา เพราะข้าพเจ้าชอบในกิจกรรมต่างๆ เช่น การปล่อยโคมลอย การทำกระทงไปลอยที่แม่น้ำซึ่งเป็นการขอขมาพระแม่น้ำคงคา และยังเป็นการอนุรักษ์ประเพณีเพื่อสืบทอดให้คนรุ่นหลังต่อไป ข้าพเจ้ามีความชื่นชอบส่วนตัวกับประเพณีไทยๆของบ้านเรา เพราะมันมีกลิ่นไอของความเป็นไทยและรู้สึกดีใจที่บ้านเมืองเรายังมีประเพณีที่ดีงามสืบทอดมาจนถึงรุ่นข้าพเจ้า อาจจะมีกิจกรรมบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไปจากแต่ก่อน แต่ก็ยังเหลือกลิ่นไอความเป็นไทยเหลืออยู่บ้างเป็นบางส่วน และข้าพเจ้าก็จะให้ความสำคัญและไปร่วมงานประเพณีเดือนยี่เป็ง อย่างนี้ทุกๆปีรวมถึงประเพณีอื่นๆด้วยเช่นกัน


 ลอยกระทงกัน