บทที่ 7
Supply chain management : SCM
Supply chain management คือ ระบบที่จัดการการบริหารและเชื่อมโยงเครือข่ายตั้งแต่ suppliers, manufacturers, distributors เพื่อส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าโดยมีการเชื่อมโยงระบบข้อมูล วัตถุดิบ สินค้าและบริการ เงินทุน รวมถึงการส่งมอบเข้าด้วยกัน เพื่อให้การส่งมอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถส่งมอบได้ตรงตามเวลาและความต้องการ
ขั้นตอนวิวัฒนาการของระบบซัพพลายเชน
การกําเนิดระบบการบริหารซัพพลายเชนมีต้นแบบมาจากการส่งลําเลียงเสบียงอาหารและอาวุธยุโธปกรณ์ตามระบบส่งกําลังบํารุงของทหารในช่วงสงคราม ซึ่งจะต้องจัดส่งให้เพียงพอกับความต้องการ ถูกต้องและตรงเวลา จึงจําเป็นต้องอาศัยการวางแผนจัดลําดับก่อนหลังและรักษาประสิทธิภาพในการสื่อสารที'รวดเร็วและแม่นยํา ดังนั้นจึงได้นำความคิดนี้มาพัฒนาและดัดแปลงให้กับธุรกิจการค้าและอุตสาหกรรมเพื'อมุ่งสร้างคุณค่าและความพึงพอใจแก่ลูกค้าด้วยต้นทุนที่ลดลง
ระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนบริหารซัพพลายเชน 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน The Baseline Organization
ระยะนี้เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมโดยเน้นความชำนาญในการทำงานของแต่ละแผนก/ฝ่าย มีการทำงานแยกจากกัน การดำเนินงานของแต่ละฝ่ายมีความอิสระไม่เกี่ยวข้องกัน
ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน The Functionally Integrated Company
ระยะนี้องค์กรจะเริ่มจัดตั้งเป็นบริษัท โดยในองค์กรได้มีการรวบรวมหน้าที่ /ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันไว้ในกลุ่มงาน/ฝ่ายเดียวกัน ซึ่งจะไม่มีแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกจากันอย่างเด็ดขาดเหมือนระยะแรก
ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน The Internally Integrated Company
ระยะนี้องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของตนอย่างต่อเนื่องจากระยะที่ 2 โดยฝ่ายต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทําให้มีการติดต่อประสานงานเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายงานมากขึ้นการทํางานจึงมีความต่อเนื่องกันเหมือนห่วงโซ
ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน The Externally Integrated Company
ระยะนี้เป็นระยะที่บริษัทก้าวเข้าสู่รูปแบบการบริหารแบบซัพพลายเชนอย่างเต็มตัว โดยให้ความสําคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอก มีการเข้าไปทํางานร่วมกับซัพพลายเออร์ในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการทํางานเดียวกัน เพื่อควบคุมคุณภาพการผลิตวัตถุดิบ คุณลักษณะของวัตถุดิบและวิธีการผลิตวัตถุดิบในโรงงานของซัพพลายเออร์
การบริหารจัดการซัพพลายเชน
เป็นการจัดการที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคู่ค้าที่เกี่ยวข้องในซัพพลายเชนของเราเป็นสําคัญ ในการพัฒนาศักยภาพของซัพพลายเชนนั้น นอกจากระบบการประสานงานที่ดีภายในองค์กรแล้ว องค์กรจะต้องพิจารณาความสามารถในการประสานระบบงานระหว่างองค์กรใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่
ระยะของการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเพื่อเข้าสู่กระบวนบริหารซัพพลายเชน 4 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 องค์กรในรูปแบบพื้นฐาน The Baseline Organization
ระยะนี้เป็นรูปแบบการบริหารจัดการแบบดั้งเดิมโดยเน้นความชำนาญในการทำงานของแต่ละแผนก/ฝ่าย มีการทำงานแยกจากกัน การดำเนินงานของแต่ละฝ่ายมีความอิสระไม่เกี่ยวข้องกัน
ระยะที่ 2 องค์กรที่รวมหน้าที่ทางธุรกิจเข้าด้วยกัน The Functionally Integrated Company
ระยะนี้องค์กรจะเริ่มจัดตั้งเป็นบริษัท โดยในองค์กรได้มีการรวบรวมหน้าที่ /ลักษณะงานที่เป็นประเภทเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันไว้ในกลุ่มงาน/ฝ่ายเดียวกัน ซึ่งจะไม่มีแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบออกจากันอย่างเด็ดขาดเหมือนระยะแรก
ระยะที่ 3 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายในธุรกิจไว้ด้วยกัน The Internally Integrated Company
ระยะนี้องค์กรมีการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างองค์กรของตนอย่างต่อเนื่องจากระยะที่ 2 โดยฝ่ายต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทําให้มีการติดต่อประสานงานเชื่อมโยงระหว่างฝ่ายงานมากขึ้นการทํางานจึงมีความต่อเนื่องกันเหมือนห่วงโซ
ระยะที่ 4 องค์กรที่รวมการดำเนินงานภายนอกธุรกิจไว้ด้วยกัน The Externally Integrated Company
ระยะนี้เป็นระยะที่บริษัทก้าวเข้าสู่รูปแบบการบริหารแบบซัพพลายเชนอย่างเต็มตัว โดยให้ความสําคัญกับกลยุทธ์การบริหารลูกโซ่อุปทานภายนอก มีการเข้าไปทํางานร่วมกับซัพพลายเออร์ในลักษณะที่เป็นเครือข่ายการทํางานเดียวกัน เพื่อควบคุมคุณภาพการผลิตวัตถุดิบ คุณลักษณะของวัตถุดิบและวิธีการผลิตวัตถุดิบในโรงงานของซัพพลายเออร์
การบริหารจัดการซัพพลายเชน
เป็นการจัดการที่ต้องอาศัยความร่วมมือของคู่ค้าที่เกี่ยวข้องในซัพพลายเชนของเราเป็นสําคัญ ในการพัฒนาศักยภาพของซัพพลายเชนนั้น นอกจากระบบการประสานงานที่ดีภายในองค์กรแล้ว องค์กรจะต้องพิจารณาความสามารถในการประสานระบบงานระหว่างองค์กรใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่
1. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการระหว่างกลุ่ม suppliers (Supply-management interface capabilities) เพื่อให้ระบบปฏิบัติการโดยรวมมีต้นทุนต่ำที่สุด มีระบบโลจิสติกส์ในการส่งผ่านวัตถุดิบ ผลิต และส่งมอบสินค้าที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างสรรค์ระบบการส่งมอบสินค้าที่รวดเร็วตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น
2. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า(Demand-management interface capabilities) เป็นระบบการบริหารจัดการเพื'อการให้บริการที'มีคุณภาพและการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการขาย เพื่อสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน
3. ศักยภาพในการประสานระบบการจัดการสารสนเทศ (Information management capabilities) ระบบสื่อสารระหว่างองค์กรในซัพพลายเชนมีความสําคัญอย่างยิ่ง ต้องมีการวางโครงสร้างพื้นฐานทาง IT พิจารณาวางแผนกับปัญหาในเรื่องการประสานข้อมูลต่างๆ ทั้งในระบบองค์กรและระหว่างองค์กรโดยพัฒนาร่วมกันไปพร้อมๆ กับการวางกลยุทธ
ปัญหาของการจัดการซัพพลายเชน
1. ปัญหาจากการพยากรณ์
การพยากรณ์ความต้องการสินค้าเป็นสิ่งที่สําคัญมากในการจัดการซัพพลายเชน ซึ่งการพยากรณ์ที่ผิดพลาดมีส่วนทําให้การวางแผนการผลิตผิดพลาด และอาจจะทําให้ผู้ผลิตมีสินค้าไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกค้า
2. ปัญหาในกระบวนการผลิต
ปัญหาที่เกิดจากกระบวนการผลิตอาจจะทําให้ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามเวลาที่กําหนดไว้
3. ปัญหาด้านคุณภาพ
ปัญหาด้านคุณภาพอาจจะส่งผลให้กระบวนการผลิตต้องหยุดชะงัก และทําให้ไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ตามที่กําหนดไว้
4. ปัญหาในการส่งมอบสินค้า
การส่งมอบที่ล่าช้าเกิดขึ นได้ตั้งแต่เรื่องของวัตถุดิบ งานระหว่างทํา และสินค้าสําเร็จรูป ซึ่งอาจะส่งผลกระทบต่อระดับการให้บริการลูกค้าและความสามารถในการแข่งขันของกิจการ
5. ปัญหาด้านสารสนเทศ
สารสนเทศที่ผิดพลาดมีผลกระทบต่อการจัดการโซ่อุปทาน ซึ่งทําให้การผลิตและการส่งมอบสินค้าผิดไปจากที่กําหนดไว้
6. ปัญหาจากลูกค้า
ปัญหาที่เกิดจากลูกค้าเป็นความไม่แน่นอนอย่างหนึ่งของโซ่อุปทาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อองค์กร
เทคโนโลยีสารสนเทศในซัพพลายเชน
เทคโนโลยีในการจัดการซัพพลายเชน จะช่วยจัดการระบบซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพ เช่น การจัดการในเรื่องความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด โดยดําเนินการต่อเนืองตั้งแต่หน่วยต้นทางวัตถุดิบถึงขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการจัดการระบบซัพพลายเชน รวมไปถึงการจัดหาสินค้าและผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ เทคโนโลยีที่นิยมใช้ในระบบซัพพลายเชน ได้แก่
ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ E-Business หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)
เป็นการใช้เครืjองมืออิเล็กทรอนิกส์ในกระบวนการทางธุรกิจและการดําเนินงานระหว่างธุรกิจ
กับธุรกิจและระหว่างบุคคลกับธุรกิจ มีการทําธุรกรรมผ่านสืjอต่างๆ ทางอิเล็กส์ทรอนิกส์
ประโยชน์ที่ได้รับจากการทําธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์
- เกิดการประหยัดต้นทุน
- ลดการใช้คนกลางในการดําเนินธุรกิจ
- ลดกิจกรรมที่ไม่จําเป็นระหว่างโซ่อุปทาน
- ทําให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากสารสนเทศมากขึ้น
การใช้บาร์โค้ด Bar-code
บาร์โค้ดหรือรหัสแท่ง เป็นสัญลักษณ์ที'อยู่ในรูปของแท่งบาร์ ซึ่งบาร์เหล่านี้จะเป็นตัวแทนของตัวเลขและตัวอักษร สามารถอ่านได้ด้วยเครื่อง Scanner ทําหน้าที่นการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ของสินค้า เพื่อให้สามารถควบคุมการหมุนเวียนของสินค้าโดยรวดเร็วขึ้นไม่ว่าจะเป็นการรับ การจัดเก็บ และการจ่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ EDI : Electronic Data Interchange
เป็นระบบถ่ายทอดข่าวสารข้อมูลจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งในรูปสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ โดยรูปแบบข่าวสารข้อมูลนั้นจะมีการจัดรูปแบบและมีความเป็นมาตรฐานเดียวกัตามที่ได้ตกลงกันไว้ผ่านเครือข่ายการสื่อสารทําให้เพิ่มความถูกต้องและรวดเร็วในการทํางาน
การใช้ซอฟแวร์ Application SCM
ในปัจจุบันได้มีการนําซอฟแวร์มาพัฒนาและประยุกต์ใช้งานในปัจจุบัน เช่น
- Enterprise Resource Planning (ERP) เป็นซอฟแวร์ที่จัดเป็นระบบศูนย์กลางขององค์กรทั้งหมด ทําหน้าที่ประสานงานหลักๆ ในด้านต่างๆ
- Advance Planning and Scheduling จัดสร้างแผนการผลิตและจัดตารางเวลาโรงงานการผลิต ใช้เงื่อนไขข้อจํากัดและกฎเกณฑ์ทางธุรกิจในการปรับตารางให้ดีที่สุด
- Inventory Planning วางแผนคลังสินค้าที่จําเป็นในแต่ละจุดเพื่อกระจายการจัดส่งให้ตรงตามความต้องการของตลาด
- Customer Asset Management ใช้สําหรับจัดระบบการสื่อสารโต้ตอบกับลูกค้ารวมทั้งระบบขายอัตโนมัติและการให้บริการลูกค้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น