วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

บทที่ 9 E-Government

บทที่ 9
E-Government


E-government หรือ รัฐอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วยหลักการที่เป็นแนวทาง 4 ประการคือ 
          1.สร้างบริการตามความต้องการของประชาชน 
          2.ทําให้รัฐและการบริการของรัฐเข้าถึงได้มากขึ้น
          3.เกิดประโยชน์แก่สังคมโดยทั่วกัน
          4.มีการใช้สารสนเทศที่ดีกว่าเดิม

E-government คือ วิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลงานของภาครัฐ และปรับปรุงการบริการแก่ประชาชน และการบริการด้านข้อมูลเพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และทําให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับรัฐมากขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้งานเพื่อเพิ่มศักยภาพของการเข้าถึง

การให้บริการของรัฐ โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มคน 3 กลุ่ม คือ
          - ประชาชน 
          - ภาคธุรกิจ
          - ข้าราชการ

ผลพลอยได้ที่สําคัญที่เราจะได้รับคือ
          ความโปร่งใสที่ดีขึ้น อันเนื่องมากจากการเปิดเผยข้อมูลที่หวังว่าจะนําไปสู่การช่วยลดการคอรัปชั่น



E-government เทียบกับ E-commerce 
          คือ G-to-G1 Transaction มีลักษณะเป็น intranet ที่มีระบบความปลอดภัย เพื่อทําให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานของรัฐ  ปัจจุบัน e-government นํากลวิธีของ e-commerce มาใช้ในการทําธุรกิจของภาครัฐ เพื่อให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ ส่งผลให้เกิดการบริการแก่ประชาชนที่ดีขึ้น การดําเนินธุรกิจกับภาคเอกชนดีขึ้น และทําให้มีการใช้ข้อมูลของภาครัฐอยางมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

E-government เทียบกับ E-services 
          คือB-to-G2 และ G-to-C3 Transaction เป็นการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อในการให้บริการโดยภาคธุรกิจกับประชาชน หรือผู้รับบริการ  e-government กับ e-services มีความเกี่ยวพันกันมาก กล่าวได้ว่า e-government เป็นพื้นฐานของ e-services เพราะการให้บริการของรัฐต่อประชาชนนั้น มีความจําเป็นที่จะต้องมีเครือข่ายภายในระหว่างหน่วยงานของรัฐด้วยกันเองที่มีความปลอดภัย และทําให้องค์กรสามารถแลกเปลี่ยนสารสนเทศกันได้

E-Government จะเป็นแบบ G2G G2B และ G2C
          คือ ระบบต้องมีความมั่นคงปลอดภัยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ และประชาชนมีความอุ่นใจในการรับบริการ และการชําระเงินค่าบริการ ธุรกิจก็สามารถดําเนินการค้าขายกับหน่วยงานของรัฐด้วยความราบรื่น อินเทอร์เน็ตจึงเป็นสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สําคัญในการให้บริการตามแนวทางรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์


1. รัฐกับประชาชน (G2C)
          เป็นการให้บริการของรัฐสู่ประชาชนโดยตรง โดยที่บริการดังกล่าวประชาชนจะสามารถดําเนินธุรกรรมโดยผ่านเครือข่ายสารสนเทศของรัฐ 
          เช่น การชําระภาษี 
                  การจดทะเบียน 
                  การจ่ายค่าปรับ 
                  การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน 
                  การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแทนประชาชนกับผู้ลงคะแนนเสียง
                  การค้นหาข้อมูลของรัฐที่ดําเนินการการให้บริการข้อมูลผ่านเว็บไซต์

2. รัฐกับเอกชน (G2B)
           เป็นการให้บริการของภาคธุรกิจเอกชน โดยที่รัฐจะอํานวยความสะดวกต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันกันด้วยความเร็วสูง มีประสิทธิภาพ และมีข้อมูลที่ถูกต้องอย่างเป็นธรรมและโปร่งใส
           เช่น การจดทะเบียนทางการค้า 
                   การลงทุน และการส่งเสริมการลงทุน 
                   การจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์ 
                   การส่งออกและนําเข้า 
                   การชําระภาษี
                   การช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก

3. รัฐกับรัฐ (G2G)
           เป็นรูปแบบการทํางานที่เปลี่ยนแปลงไปมากของหน่วยราชการที่การติดต่อสื่อสารระหว่างกันโดยกระดาษและลายเซ็นต์ในระบบเดิม ในระบบราชการเดิมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วยการใช้ระบบเครือข่ายสารสนเทศ และลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลอย่างเป็นทางการเพื่อเพิ่มความเร็วในการดําเนินการ (Economy of Speed) ลดระยะเวลาในการส่งเอกสารและข้อมูลระหว่างกัน
           เช่น ระบบงานสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ 
                   ระบบบัญชี และการเงิน
                   ระบบจัดซื้อจัดจ้างด้วยอิเล็กทรอนิกส์

4. รัฐกับข้าราชการและพนักงานของรัฐ (G2E)
           เป็นการให้บริการที่จําเป็นของพนักงานของรัฐ (Employee) กับรัฐบาล โดยที่จะสร้างระบบเพื่อช่วยให้เกิดเครื่องมือที่จําเป็นในการปฏิบัติงาน และการดํารงชีวิต 
           เช่น ระบบสวัสดิการ 
                   ระบบที่ปรึกษาทางกฎหมาย และข้อบังคับในการปฏิบัติราชการ 
                   ระบบการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น