วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ประเพณีเดือนยี่เป็ง 2556

       
            ประเพณีเดือนยี่เป็งมีความเป็นมาอย่างช้านาน โดยมีประวัติอยู่ว่า คำว่า "ยี่เป็ง" ในภาษาคำเมืองของทางเหนือ "ยี่" แปลว่า สอง และคำว่า "เป็ง" หมายถึง เพ็ญ หรือพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้น จึงหมายถึง ประเพณีพระจันทร์เต็มดวงในเดือนสอง โดยในพงศาวดารโยนกและจามเทวี มีบันทึกว่าครั้งหนึ่งได้เกิดอหิวาตกโรคขึ้นในแคว้นหริภุญไชย (หรือหริภุญชัย)ทำให้ชาวเมืองต้องอพยพไปอยู่เมืองหงสาวดี นานถึง 6 ปี จึงจะเดินทางกลับมายังบ้านเมืองเดิมได้ เมื่อเวลาเวียนมาถึงวันที่จากบ้านจากเมืองไป จึงได้มีการทำกระถางใส่เครื่องสักการบูชา ธูปเทียนลอย ลอยตามน้ำเพื่อให้ไปถึงญาติพี่น้องที่ล่วงลับไป เรียกว่า การลอยโขมด หรือลอยไฟ 
          ประเพณียี่เป็ง จะเริ่มตั้งแต่วันขึ้น 13 ค่ำ ซึ่งถือว่าเป็น "วันดา" หรือวันจ่ายของเตรียมไปทำบุญเลี้ยงพระที่วัด  ครั้นถึงวันขึ้น  14 ค่ำ พ่ออุ้ยแม่อุ้ยและผู้มีศรัทธาก็จะพากันไปถือศีลฟังธรรม และทำบุญเลี้ยงพระที่วัด มีการทำกระทงขนาดใหญ่ตั้งไว้ที่ลานวัด ในกระทงนั้นจะใส่ของกินของใช้ ใครจะเอาของมาร่วมสมทบด้วยก็ได้ เพื่อเป็นทานแก่คนยากจน และในวันขึ้น 15 ค่ำ จึงนำกระทงใหญ่ที่วัดและกระทงเล็ก ๆ ของส่วนตัวไปลอยในลำน้ำ


          ในงานบุญยี่เป็งนอกจากจะมีการปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์มหาชาติตามวัดวาอารามต่าง ๆ แล้ว ยังมีการประดับตกแต่งวัด บ้านเรือน และถนนหนทางด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย ทางมะพร้าว ดอกไม้ ตุง ช่อประทีป และชักโคมยี่เป็งแบบต่าง ๆ ขึ้นเป็นพุทธบูชา พอตกกลางคืนก็จะมีมหรสพและการละเล่นมากมาย มีการแห่โคมทองพร้อมกับมีการจุดถ้วยประทีป (การจุดผางปะติ๊ด)เพื่อบูชาพระรัตนตรัย ซึ่งการจุดโคมไฟประดับตกแต่งตามวัดวาอาราม และการจุดโคมลอยปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตามความเชื่อการปล่อยว่าวไฟหรือโคมลอยนี้ เพื่อให้นำเอาเคราะห์ร้าย ภัยพิบัติต่าง ๆ ออกไปจากหมู่บ้าน ดังนั้น ว่าวหรือโคมลอยที่ปล่อยขึ้นไปถ้าไปตกในบ้านใคร บ้านนั้นต้องจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์เพื่อล้างเสนียดจัญไรทั้งปวงออกไป นอกจากนี้ ยังถือกันว่าเป็นการทำเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเพื่อความสนุกสนาน สร้างความสามัคคีกันในหมู่บ้านอีกด้วย


"ปล่อยโคมกันไหม"

            โดยส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้ว  "ประเพณีเดือนยี่เป็ง"  ข้าพเจ้าได้ให้ความสำคัญกับประเพณีเท่าๆกับประเพณีสงกรานต์ และประเพณีอื่นๆ เพราะเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ในทุกปีข้าพเจ้าได้ร่วมงานประเพณีเดือนยี่เป็งเสมอมา เพราะข้าพเจ้าชอบในกิจกรรมต่างๆ เช่น การปล่อยโคมลอย การทำกระทงไปลอยที่แม่น้ำซึ่งเป็นการขอขมาพระแม่น้ำคงคา และยังเป็นการอนุรักษ์ประเพณีเพื่อสืบทอดให้คนรุ่นหลังต่อไป ข้าพเจ้ามีความชื่นชอบส่วนตัวกับประเพณีไทยๆของบ้านเรา เพราะมันมีกลิ่นไอของความเป็นไทยและรู้สึกดีใจที่บ้านเมืองเรายังมีประเพณีที่ดีงามสืบทอดมาจนถึงรุ่นข้าพเจ้า อาจจะมีกิจกรรมบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไปจากแต่ก่อน แต่ก็ยังเหลือกลิ่นไอความเป็นไทยเหลืออยู่บ้างเป็นบางส่วน และข้าพเจ้าก็จะให้ความสำคัญและไปร่วมงานประเพณีเดือนยี่เป็ง อย่างนี้ทุกๆปีรวมถึงประเพณีอื่นๆด้วยเช่นกัน


 ลอยกระทงกัน





สรุป บทที่ 3 E- ENVIRONMENT

บทที่ 3 
E- ENVIRONMENT (Business Environment)


          การดำเนินงานธุรกิจนั้นจะต้องมีการกําหนดแผนกลยุทธ์เพื่อใช้ในการจัดการธุรกิจ ซึ่งในการกำหนดแผนกลยุทธ์นั้น จะต้องทำการศึกษาสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กรเป็นลำดับแรก แล้วจึงทำการศึกษาสภาพแวดล้อมภายในองค์กรเป็นลําดับถัดมา การแข่งขันกันในเชิงธุรกิจผู้ที่จะชนะและสามารถครอบครองตลาดได้นั้น จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางธุรกิจทั้งภายนอกและภายในองค์กรก่อนการดำเนินงานต่างๆของธุรกิจ

สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
          1. สภาพแวดล้อมภายในธุรกิจ (Internal Environment) คือ สภาพแวดล้อมที่ธุรกิจสามารถควบคุมได้หมายถึง ปัจจัยต่างๆ ที่ธุรกิจสามารถกําหนด และควบคุมได้เป็นไปตามความต้องการของธุรกิจถือว่าเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อโปรแกรมการตลาด โดยการวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อนของธุรกิจในการนําไปเปรียบเทียบกับคู่แข็งขัน
          2. สภาพแวดล้อมภายนอกธุรกิจ (External Environment) คือ สภาพแวดล้อมที่ธุรกิจไม่สามารถควบคุมได้  หมายถึง ปัจจัยบังคับภายนอกธุรกิจที่มีอิทธิพลต่อระบบการตลาด ถือว่าเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้แต่มีอิทธิพลต่อระบบการตลาด คือสร้างโอกาสหรืออุปสรรคแก่ธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย สิ่งแวดล้อมจุลภาค และสิ่งแวดล้อมมหภาค




สภาพแวดล้อมภายนอกธุรกิจระดับจุลภาค (Micro External Environment) 
          คือ สภาพแวดล้อมภายนอกที่ธุรกิจไม่สามารถควบคุมได้แต่สามารถเลือกที่จะติดต่อและเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
               1. ตลาด หรือลูกค้า (Market) 
               2. ผู้ขายปัจจัยการผลิตหรือวัตถุดิบ (Suppliers) 
               3. คนกลางทางการตลาด (Marketing Intermediaries)
               4. สาธารณชนและกลุ่มผลประโยชน์ (Public)

สภาพแวดล้อมภายนอกธุรกิจระดับมหภาค (Macro External Environment)
         คือ สภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการดําเนินธุรกิจและต่อระบบการตลาดเป็นอย่างมาก แต่ละหน่วยงานและองค์กรธุรกิจไม่สามารถควบคุมการเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 
               1. ด้านการเมืองและกฎหมาย 
               2. เศรษฐกิจ
               3. สังคม 
               4. เทคโนโลยี



การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการบริหารธุรกิจ
S (Strengths) จุดแข็ง เป็นปัจจัยภายในที่สามารถควบคุมได้ตามศักยภาพของธุรกิจที่มีอยู่ จุดแข็งนี้จะก่อให้เกิดผลดีต่อธุรกิจ ซึ่งส่งผลมาจากการบริหารงานภายในระหว่างผู้บริหารและบุคลากร หรืออาจมาจากความได้เปรียบในด้านทรัพยากรทางการบริหารต่างๆ

W (Weaknesses) จุดอ่อน เป็นปัจจัยภายในที่เกิดจากปัญหาภายในธุรกิจ อันเนื่องมาจากการบริหารงานที่ผิดพลาด ข้อจํากัดบางประการของศักยภาพทางธุรกิจ ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลร้ายถ้าไม่รีบดําเนินการแก้ไข 

O (Opportunities) โอกาส เป็นปัจจัยภายนอกที่ธุรกิจไม่สามารถเข้าไปควบคุมให้เกิดหรือไม่เกิดขึ้นได้ แต่เป็นสภาวการณ์แวดล้อมอันส่งผลดีให้กับธุรกิจโดยบังเอิญ

T (Threats) อุปสรรค เป็นปัจจัยภายนอกที่ธุรกิจไม่สามารถเข้าไปควบคุมให้เกิดหรือไม่เกิดขึ้นได้ และเป็นสภาวการณ์แวดล้อมอันเลวร้ายที่ส่งผลเสียให้กับธุรกิจ



การวิเคราะหฺ์เชิงกลยุทธ์ด้วย TOWS Matrix
กลยุทธ์เชิงรุก (SO Strategy) 
         เป็นการใช้จุดแข็งบนโอกาสที่มี ซึ่งได้มาจากการนําข้อมูลการประเมินสภาพแวดล้อมที่เป็นจุดแข็งและโอกาสมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะนํามากําหนดเป็นยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในเชิงรุก

กลยุทธ์เชิงป้องกัน (ST Strategy) 
         เป็นการใช้จุดแข็งป้องกันอุปสรรค ซึ่งได้มาจากการนําข้อมูลการประเมินสภาพแวดล้อมที่เป็นจุดแข็งและข้อจํากัดมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะนํามากําหนดเป็นยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในเชิงป้องกัน

กลยุทธ์เชิงแก้ไข (WO Strategy) 
          เป็นการขจัดจุดอ่อนโดยใช้โอกาส ซึ่งได้มาจากการนําข้อมูลการประเมินสภาพแวดล้อมที่เป็นจุดอ่อนและโอกาสมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะนํามากําหนดเป็นยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในเชิงแก้ไข

กลยุทธ์เชิงรับ (WT Strategy) 
          เป็นการขจัดจุดอ่อนป้องกันอุปสรรค ซึ่งได้มาจากการนําข้อมูลการประเมินสภาพแวดล้อมที่เป็นจุดอ่อนและข้อจํากัดมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อที่จะนํามากําหนดเป็นยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในเชิงรับ



การวิเคราะห์ SWOT  Analysis
          คือการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและศักยภาพ หรือ การวิเคราะห์สภาวะแวดล้อม เป็นเครื่องมือในการประเมินสถานการณ์สำหรับองค์กรหรือโครงการ ซึ่งช่วยผู้บริหารกำหนดจุดแข็งและจุดอ่อนจากสภาพแวดล้อมภายใน โอกาสและอุปสรรคจากสภาพแวดล้อมภายนอก ตลอดจนผลกระทบที่มีศักยภาพจากปัจจัยเหล่านี้ต่อการทำงานขององค์กร




สรุป บทที่ 4 E- Business Strategy

บทที่ 4
 E- Business Strategy

Strategy     หมายถึง การกําหนดทิศทาง และแนวทางในการปฏิบัติในอนาคตขององค์กร เพื่อให้บรรลุ                        วัตถุประสงค์ขององค์กรที่ได้วางไว้
E-Strategy หมายถึง วิธีการที่จะทําให้กลยุทธ์ขององค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยนําการสื่อสาร                        ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้งาน ทั้งการสื่อสารภายในองค์กร และการสื่อสารภายนอก                          องค์กร
Business Strategy หมายถึงกลยุทธ์ที่จะเชื่อมแบบจําลองทางธุรกิจให้เป็นจริงได้ คือทํายังไงให้การ                          สร้างมูลค่านั้นเป็นจริงได้ แล้วทํายังไงที่จะส่งมูลค่านั้นให้กับลูกค้าได้ดีที่สุด และทํายังไงให้                    มันแตกต่าง

กลยุทธ์หลักในการทําธุรกิจอิเล็กทรอนิกมี 4 ขั้นตอน คือ

          1. Strategic evaluation :        กลยุทธ์การประเมิน
          2. Strategic objectives :        กลยุทธ์การวางแผนวัตถุประสงค์
          3. Strategy definition :          กลยุทธ์การกําหนดนิยาม
          4. Strategy implementation : กลยุทธ์การดําเนินงาน


กลยุทธ์ของธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ (E-Business Strategies)
          กลยุทธ์ เป็นตัวกําหนดทิศทางและการดําเนินงานด้านต่างๆ ขององค์กร กลยุทธ์เป็นเสมือนกับเหตุผลและความมุ่งหมายขององค์กร

องค์ประกอบที่สําคัญของกลยุทธ์ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์
          คือการสร้างช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ให้กับองค์กร กลยุทธ์ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยในการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนหรือเหมาะสม หากปราศจากการกําหนดเป้าหมายการดําเนินงานจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าและติดขัด จึงจําเป็นที่จะต้องกําหนดช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ว่าจะถูกนำไปใช้ร่วมกันกับช่องทางอื่นๆได้อย่างไร
         - กลยุทธ์ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์จะสําเร็จได้ เมื่อมีการสร้างคุณค่าที่ต่างกันสําหรับทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์จะไม่เกิดขึ้นแบบเดี่ยวๆ ดังนั้นจะต้องมีการนําหลายๆช่องทางมาใช้ร่วมกัน
         - กลยุทธ์ของธุรกิจเล็กทรอนิกส์ ต้องกําหนดวิธีที่องค์กรจะได้รับคุณค่าจากการใช้เครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์


E- Channel Strategies
          คือ การสร้างช่องทางใหม่ๆในการกระจายสินค้า ทั้งจากลูกค้าและคู่ค้า โดยที่ช่องทางทางอิเล็กทรอนิกส์สามารถกําหนดวิธีการที่สามารถใช้ทํางานร่วมกับช่องทางอื่นๆจากหลายช่องทางของกลยุทธ์ได้

Multi - Channel E-Business Strategy
          กลยุทธ์หลายช่องทาง E - Business เป็นการกําหนดวิธีการทางการตลาดที่แตกต่าง และช่องทางของห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้นจึงควรมีการบูรณาการ และทุกๆกลยุทธ์ควรจะสนับสนุนซึ่งกัน


Strategy process models for e-business
         
          - Strategy Formulation







          - Strategic Implementation




        

            - Strategic Control and Evaluation




Strategy Formulation
          - การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกเพื อหาโอกาสและภัยคุกคาม โดยพิจารณาในแง่ต่างๆ
          - การวิเคราะห์สถานการณ์ภายในเพื อหาจุดแข็งและจุดอ่อน
          - การกําหนดหรือทบทวนวิสัยทัศน์และภารกิจขององค์การเพื่อกําหนดให้แน่ชัดว่าองค์การของเราจะมีลักษณะเช่นใด มีหน้าที่บริการอะไร แก่ใครบ้าง โดยมีปรัชญาหรือค่านิยมหลักในการดําเนินการเช่นใด
          - การกําหนดวัตถุประสงค์ขององค์การในระยะของแผนกลยุทธ์
          - การวิเคราะห์และเลือกกําหนดกลยุทธ์และแนวทางพัฒนาองค์การ


Strategic Implementation
          - การกําหนดเป้าหมายการดําเนินงาน
          - การวางแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่ระบุกิจกรรมต่างๆ ที่จะต้องดําเนินการ
          - การปรับปรุง พัฒนาองค์การ


Strategic Control and Evaluation
          - การติดตามตรวจสอบผลการดําเนินงานตามแผนกลยุทธ์
          - การติดตามสถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆ ที่อาจเปลี่ยนแปลงไป ซึ้งอาจทําให้ต้องมีการปรับแผนกลยุทธ์


Strategy process models for e-business

สรุป บทที่ 2 E-Business infrastructure (Past2)

บทที่ 2
E-business infrastructure (Past 2)
Blog
         Blog มาจากคําเต็มว่า WeBlog คือการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาเป็นเรื่องใดก็ได้ซึ่งข้อมูลประกอบด้วยข้อความ, รูป และลิงค์ 
     - การเพิ่มบทความให้กบั blog ที่มีอยู่ เรียกว่า “blogging” 
     - บทความใน blog เรียกว่า“posts” หรือ “entries” 
     - บุคคลที่โพสลงใน “entries” เรียกว่า “blogger”

จุดเด่นของ Blog
     - เป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่งที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อกและผู้อ่านที่เป็น กลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน
     - มีความสะดวกและง่ายในการเขียน Blog ทําให้สามารถเผยแพร่ความคิดเห็นของผู้เขียน blog ได้ง่ายขึ้น
     - Comment จากผู้ที่สนใจเรื่องเดียวกันบางครั้งทําให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ

ข้อแตกต่างของ Blog กับเว็บประเภทอื่น
     - การใส่ข้อมูลใหม่ทําได้ง่าย
     - มี template อัตโนมัติช่วยจัดการ
     - มีการกรองเนื้อหาแยกตามวัน ประเภทผู้แต่งหรืออื่นๆ
     - ผู้ดูแลจัดการ blog สามารถเชิญ หรือ เพิ่มผู้แต่งคนอื่นโดยจัดการเรื่องการอนุญาตและการเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย


     - เจ้าของ blog จะเป็นผู้สร้างหัวข้อสนทนาเท่านั้น



Internet Forum
          Internet Forum ทําหน้าที่คล้าย bulletin board และ newsgroup มีการรวบรวมข้อมูลทั่วๆไป เช่น เทคโนโลยี, เกม, คอมพิวเตอร์, การเมือง ฯลฯ โดยผู้ใช้สามารถโพสหัวข้อลงไปในกระดานได้ และผู้ใช้คนอื่นๆก็สามารถเลือกดูหัวข้อหรือแม้กระทั่งโพสความคิดเห็นของตนเองลงไปได้

Wiki
          Wiki สามารถสร้างและแก้ไขหน้าเว็บเพจขึ้นมาใหม่ผานทางบราวเซอร์โดยไม่ต้องสร้างเอกสาร html เหมือนแต่ก่อน  Wiki จะเน้นการทําระบบสารานุกรม, HOWTOs ที่รวมองค์ความรู้หลายๆแขนงเข้าไว้ด้วยกันโดยเฉพาะ

Instant Messaging
          Instant Messaging เป็นการอนุญาตให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลบนเครือข่ายที่เป็นแบบ relative privacy ตัวอย่างเช่น Gtalk , Skype ,Meetro ,ICQ ,Yahoo Messenger ,MSN Messenger และ
AOL Instant Messenger เป็นต้น



Folksonomy (ปัจเจกวิธาน)
          ก่อนหน้าการกาเนิดขึ้นของปัจเจกวิธาน โดยทั่วไปแล้วได้มีการจัดกลุ่มการจัดระเบียบและค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตโดยทั่วไปมี 3 แบบ คือ
              - ค้นหาในเนื้อความ (Text Search) คือการออกแบบเพื่อจัดอันดับความสําคัญของเว็บโดยคํานวณจากการนับ Link จากเว็บอื่นที่ชี้มาที่เว็บหนึ่งๆ จึงเป็นที่น่าติดตามว่าจะมีเทคนิควิธีในการค้นหาข้อมูลใหม่ๆ
              - เรียงเนื้อหาตามลําดับเวลา (Chronological) เนื้อหาข้อมูลจะถูกจัดเก็บเรียงลําดับเวลาโดยแสดงตามเวลาใหม่ล่าสุดก่อน ทั้งนี้หากต้องการอ่านเนื้อหาเก่าก็สามารถคลิกดูที่ปฏิทินได้
              - แยกตามกล่มประเภท (Category, Classification) เป็นการจัดระเบียบแบบนี้ ยึดเอาหัวข้อเป็นหลักแล้วแยกประเภทออกไป จะช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น
         ปัญหาที่เกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารบนอินเทอร์เน็ต คือเนื้อหามีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วรายวัน ในการค้นหาข้อมูลที่ตรงตามความต้องการมากที่สุดทําได้ยากเนื่องจากเนื้อหาที่มีจํานวนมาก การค้นหาข้อมูลเฉพาะด้านที่ขึ้นกับความสนใจของผู้ทําการค้นไม่ตรงจุด และข้อมูลที่พบอาจจะขาดความน่าเชื่อถือ จากปัญหาเหล่านี้ีนี่เองเป็นแรงผลักให้เกิดระบบปัจเจกวิธานขึ้นมา
         Folksonomy (ปัจเจกวิธาน) เป็นรูปแบบหนึ่งในการจัดการข่าวสารความรู้สําหรับปัจเจกบุคคลอันนํามาซึ่งประโยชน์อันกว้างขวางในการศึกษาความสนใจและพฤติกรรมของกลุ่มชนหรือสังคมโดยรวมได้
         การที่เว็บมีข้อมูลจํานวนมาก ทําให้ยากต่อการตัดสินใจเลือกว่าข้อมูลใดน่าสนใจที่สุดระบบของปัจเจกวิธานจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้โดยการแสดงจํานวนผู้ใช้ที่ได้ใส่ tag ให้กับเว็บนั้นๆ ถ้ามีจํานวนผู้ใช้ที่ใส่ tag มากก็แสดงว่าเว็บนั้นเป็นที่นิยม

         อนาคตของปัจเจกวิธาน (Folksonomy) ระบบการใช้ tag จะมีการนําไปประยุกต์ใช้กับ Blog และ Wiki เพื่อความสะดวกให้การค้นหาความรู้ต่างๆ ที่บรรจุไว้ในซอฟต์แวร์ทั้งสอง ในระยะยาวอาจจะมีการแข่งขันของโปรแกรมลักษณะนี้อีกก็เป็นไปได้  โดยที่อาจจะมีคุณลักษณะเพิ่มเติมที่ง่ายต่อการใช้งาน และมีความสามารถใหม่ๆ





Networking standards
         Networking standards เป็นขบวนการที่เกี่ยวข้องกับทุกๆ protocol & procedure และระเบียบแบบแผนต่างๆ ที่ใช้ในระบบอินเตอร์เน็ตไม่จําเป็นว่ามันจะเป็นส่วนหนึ่งของ TCP/IP protocol หรือไม่ โดยทั่วไปแล้ว the Internet Standards Process ก็จะถูกทําให้เป็น application ของโปรโตคอล และ procedure ของ Internet context ไม่ใช่ว่าเพื่อระบุให้โปรโตคอลของมันเอง

TCP/IP
        TCP/IP เป็นข้อตกลงในการควบคุมการรับส่งข้อมูล และ Internet หรือ Protocol ของระบบ Internet Transmission ControlProtocol/InternetProtocol โปรโตคอล TCP/IP เป็นชื่อเรียกของชุดโปรโตคอลที่สําคัญ มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายตามการขยายตัวของอินเตอร์เน็ต/อินทราเน็ตโปรโตคอลประกอบ การทํางานร่วมกัน 2 โปรโตคอลคือ TCP และ IP
         Internet Protocol (IP) เป็นโปรโตคอลที่มีบทบาทสําคัญในการทํางานในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเนื่องจากเมื่อโปรโตคอลอื่นๆ ต้องการส่งผ่านข้อมูลข้ามเครือข่ายในอินเตอร์เน็ตนั้นจะต้องอาศัยการผนึกข้อมูล (encapsulation) ไปกับโปรโตคอล IP ที่มีกลไกการระบุเส้นทาง (route service) ผ่าน Gateway หรือ Router เนื่องจากกลไกการระบุเส้นทางจะทํางานที่โปรโตคอล IP เท่านั้น

The HTTP protocol
          HTTP มาจากคําว่า Hypertext Transfer Protocol ซึ่งเป็น protocol ที่ใช้ในการส่งเดต้าต่างๆ ในโลกของ World Wide Web. เดต้าต่างๆ เหล่านี้โดยทั่วไปมักจะถูกเรียกว่า Resource โดย Resource เหล่านี้อาจจะเป็นไฟล์ เช่น HTML ไฟล์, imageไฟล์ หรือคําสั่งต่าง ๆ (QueryString) 

Uniform resource locators (URLs)
          คือตัวระบุแหล่งทรัพยากรสากลประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้สําหรับระบุแหล่งที่อยู่ของทรัพยากรที่ต้องการ และมีกลไกบางอย่างสําหรับดึงข้อมูลทรัพยากรนั้นมา ในการใช้ในเอกสารทางเทคนิคและการอภิปรายทั่วไป

Domain names
          คือ ชื่อเว็บไซต์ (www.yourdomain.com) ที่สามารถเป็นเจ้าของ ซึ่งจะต้องไม่ซํ้ากับคนอื่น เพื่อการเรียกหาเว็บไซต์ที่ต้องการ “ชื่อเว็บไซต์” คือ สิ่งแรกที่แสดง หรือ ประกาศความมีตัวตนบนอินเตอร์เน็ตให้คนทั่วไปได้รู้จัก และสามารถมีได้ชื่อเดียวในโลกเท่านั้น 





สรุป บทที่ 5 E-Commerce

บทที่ 5 
E-Commerce



ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Business) คือกระบวนการดําเนินธุรกิจโดยอาศัยเทคโนโลยีเครือข่ายที่เรียกว่าองค์การเครือข่ายร่วม (Internet worked Network) ไม่ว่าจะเป็นการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce) การติดต่อสื่อสารและการทํางานร่วมกัน หรือแม้แต่ระบบธุรกิจภายในองค์กร


การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Commerce)  คือ การทําธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในทุกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทําเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนําสินค้า พนักงานต้อนรับ เป็นต้น จึงลดข้อจํากัดของระยะทาง และเวลาลงได้


การประยุกต์ใช้ (E-commerce Application)
          - การค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์   (E-Retailing)
          - การโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์ (E-Advertisement)
          - การประมูลอิเล็กทรอนิกส์   (E-Auctions)
          - การบริการอิเล็กทรอนิกส์    (E-Service)
          - รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์         (E-Government)
          - การพาณิชย์ผ่านระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ (M-Commerce : Mobile Commerce)



กรอบการทํางาน (E-Commerce Framework)

โครงสร้างพื้นฐาน (E-Commerce Infrastructure)
          องค์ประกอบหลักสําคัญด้านเทคโนโลยีพื้นฐาน ที่จะนํามาใช้เพื่อการพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ โดยแบ่งออกเป็น 4 ส่วนได้แก่
1. ระบบเครือข่าย (Network)
2. ช่องทางการติดต่อสื่อสาร (Chanel Of Communication)
3. การจัดรูปแบบและการเผยแพร่เนื้อหา (Format & Content Publishing)
4. การรักษาความปลอดภัย (Security)

การสนับสนุน (E-Commerce Supporting)
         ส่วนของการสนับสนุนจะทําหน้าที่ช่วยเหลือและสนับสนุนส่วนของการประยุกต์ใช้งานให้ทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนเสาหลักของบ้าน สําหรับส่วนสนับสนุนของ E-Commerce มีองค์ประกอบ 5 ส่วนด้วยกันดังต่อไปนี้
1. การพัฒนาระบบงาน   E-Commerce Application Development
2. การวางแผนกลยุทธ์   E-Commerce Strategy
3. กฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์   E-Commerce Law
4. การจดทะเบียนโดเมนเนม   Domain Name Registration
5. การโปรโมทเว็บไซต์   Website Promotion


การจัดการการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
ประเภทของ E-Commerce

กลุ่มธุรกิจที่ค้ากําไร (Profits Organization)
1. Business-to-Business (B2B)
2. Business-to-Customer (B2C)
3. Business-to-Business-to-Customer (B2B2C)
4. Customer-to-Customer (C2C)
5. Customer-to-Business (C2B)
6. Mobile Commerce

กลุ่มธุรกิจที่ไม่ค้ากําไร (Non-Profit Organization)
1. Intrabusiness (Organization) E-Commerce
2. Business-to-Employee (B2E)
3. Government-to-Citizen (G2C)
4. Collaborative Commerce (C-Commerce)
5. Exchange-to-Exchange (E2E)
6. E-Learning


แบบจําลองทางธุรกิจ  E-Commerce Business Model
          หมายถึง วิธีการดําเนินการทางธุรกิจที่ช่วยสร้างรายได้อันจะทําให้บริษัทอยู่ต่อไปได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงกิจกรรมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Add) ให้กับสินค้าและบริการ วิธีการที่องค์กรคิดค้นขึ้นมาเพื่อประยุกต์ใช้ทรัพยากรขององค์กรอย่างเต็มที่ อันจะก่อให้เกิดผลกําไรสูงสุดและเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการ


ข้อแตกต่างระหว่างการทําธุรกิจทั่วไปกับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


ข้อดีและข้อเสียของ E-Commerce
ข้อดี
1.สามารถเปิดดําเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
2.สามารถดําเนินการค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก
3.ใช้ต้นทุนในการลงทุนต่ำ
4.ไม่ต้องเสียค่าเดินทางในระหว่างการดําเนินการ
5.ง่ายต่อการประชาสัมพันธ์ และยังสามารถประชาสัมพันธ์ในครั้งเดียวแต่ไปได้ทั่วโลก
6.สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ตได้ง่าย
7.ประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาสําหรับผู้ซื้อและผู้ขาย
8.ไม่จําเป็นต้องเปิดเป็นร้านขายสินค้าจริงๆ

ข้อเสีย
1.ต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยของระบบที่มีประสิทธิภาพ
2.ไม่สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ไม่ได้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตได้
3.ขาดความเชื่อมั่นในเรื่องการชําระเงินผ่านทางบัตรเครดิต
4.ขาดกฎหมายรองรับในเรื่องการดําเนินการธุรกิจขายสินค้าแบบออนไลน์
5.การดําเนินการทางด้านภาษียังไม่ชัดเจน 

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สรุป บทที่ 2 E-Business infrastructure 1 (Past1)

บทที่ 2
E-business infrastructure (Past 1)

          E-business infrastructure หมายถึง การรวมกันของฮาร์ดแวร์เช่น Server, Client PC ในองค์กรรวมถึงการใช้เครือข่ายในการเชื่อมโยงฮาร์ดแวร์เหล่านี้ กับการใช้งานซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการส่งมอบบริการให้กับผู้ใช้งานที่อยู่ในบริษัทและยังรวมถึงคู่ค้าและลูกค้าของตน
          Infrastructure ยังหมายถึงสถาปัตยกรรมทางด้าน Hardware,Software และเครือข่ายที่มีอยูในบริษัทด้วย และยังรวมไปถึงกระบวนการในการนําเข้าข้อมูลและเอกสารเข้าสู่ระบบ E-business ด้วย


Internet technology
          Internet ช่วยให้การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์หลายล้านเครื่องที่เชื่อมต่อทั่วโลก อินเทอร์เน็ตเป็นระบบเชื่อมต่อขนาดใหญ่ในรูปแบบ Client / Server

Intranet applications
           Intranet ถูกใช้อย่างกว้างขวางเพื่อรองรับการขายในด้านธุรกิจ e-commerce โดยเน้นทํางานจากฝ่ายการตลาดเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนกิจกรรมหลักของ supply-chain management โดยการตลาดเครือข่าย

Extranet applications
          Extranet เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้การเข้าถึงข้อมูล โดยการควบคุมจากภายนอกองค์กร สำหรับธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง  และในการประยุกต์ใช้เอ็กซ์ทราเน็ตนั้น ข้อมูลซอฟต์แวร์จะถูกจํากดการเข้าถึง ของบริษัทโดยแสดงข้อมูลภายในให้กับผู้ใช้ภายนอก

Web technology
          Web หรือ World Wide Web คือขั้นตอนมาตรฐานในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อมูลสาธารณะบนโลกอินเทอร์เน็ตโดยรูปแบบเอกสารพื้นฐานคือ HTML (Hypertext Markup Language) และ Web ยังเป็นการบริการหนึ่งที่เป็นรูปแบบต่างๆของการให้บริการทางอินเตอร์เน็ตสําหรับผู้พัฒนาเว็บ หรือผู้ที่ต้องการเขียนโปรแกรมเพื่อติดต่อสื่อสารผ่านเว็บ หรือ อินเตอร์เน็ต และผู้ใช้จะต้องรู้และเข้าใจถึงเรื่องเกี่ยวกับโปรโตคอล (Protocal) - มาตรฐานในการรับส่งข้อมูล





ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ต
          การใช้บริการเว็บจะทํางานภายใต้ โปรโตคอล HTTPโดยโปรโตคอลจะเป็นตัวกำหนดวิธีการส่งข้อมูลหรือไฟล์ระหวางเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็น Client และ Server รวมถึงการกำหนดกฏระเบียบในการติดต่อด้วย เราจะใช้โปรแกรมประเภท Browser เป็นตัวช่วยในการติดต่อสื่อสารได้ง่ายขึ้น

Internet
          อินเทอร์เน็ต หมายถึง ลักษณะของการเชื่อมต่อของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั้งเล็กและใหญ่จํานวนมากเข้าด้วยกัน โดยมีข้อกำหนดว่าทุกเครือข่ายที่เชื่อมต่อถึงกันจะต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานของการเชื่อมต่อโปรโตคอลที่ถูกสร้างขึ้ นมาเพื่อใช้งานบนเครือข่ายแบบนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเรียกว่า TCP/IP


Web browsers and servers
          เว็บเบราว์เซอร์ (web browser) เบราว์เซอร์หรือโปรแกรมดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกบข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น Internet Explorer , Mozilla Firefox ,Google Chrome เป็นต้น









Evolution Web 1.0, Web 2.0 to Web 3.0 (วิวัฒนาการของ เว็บ 1.0 เว็บ 2.0 เว็บ 3.0)

         Web 1.0 คือ ผู้เข้าชมสามารถอ่านได้อย่างเดียว ( Read-only ) เป็นเทคโนโลยีที่ไม่ สามารถแก้ไขข้อมูลได้ เป็นเว็บที่ผ้เข้าเยี่ยมชมไม่สามารถมีส่วนร่วมกับเว็บดังกล่าวได้ ถือว่าเป็นเว็บรุ่นแรกของเทคโนโลยีเว็บไซต์ส่วนมากจะใช้ภาษา html (Hyper Text Markup Language) เป็นภาษาสําหรับการพัฒนา

          Web 2.0 คือ ผู้เข้าชมสามารถอ่านและเขียนได้ ( Read-Write ) เป็นเทคโนโเว็บไซต์ที่พัฒนาต่อจาก web 1.0เป็นเทคโนโลยีเว็บไซต์ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้ ซึ่งจะใช้ฐานข้อมูลมาเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีนี ด้วย

          Web 3.0 เป็นการนําแนวคิดของ Web 2.0 มาทําให้ Web นั้นสามารถจัดการข้อมูลจํานวนมากๆ ให้อยู่ในรูปแบบ Metadata ที่หมายถึงข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทําให้เว็บกลายเป็น Semantic Web คือ ตัว Web จะทําหน้าที่ ประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นแล้วให้ Tags ตามความเหมาะสมให้เราแทน โดยข้อมูลแต่ละ Tagจะมีความสัมพันธ์กับอีก Tagหนึ่งโดยปริยายทําให้อินเทอร์เน็ตกลายเป็นฐานข้อมูล ความรู้ขนาดใหญ่ ที ข้อมูลทุกอย่างถูกเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระบบมากขึน



แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2


แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2


1. E-Business และ E-Commerce เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร



E-business คืออะไร

          E-Business คือ การดำเนินกิจกรรมทาง“ธุรกิจ”ต่างๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และยังช่วยลดต้นทุน  ขยายโอกาสทางการค้าและการบริการ



E-Commerce คืออะไร

         E-Commerce หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือการผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ยังหมายถึง ธุรกรรมทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กรและส่วนบุคคลบนพื้นฐานของการประมวลและการส่งข้อมูลดิจิทัลที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ



        







2. หาความหมายของคำต่อไปนี้
 
Business-to-Business (B2B)
          
          หมายถึง ผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการ (Business to Business – B2B) คือการค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าเช่นกัน แต่ในที่นี้ลูกค้าจะเป็นในรูปแบบของผู้ประกอบการ จะครอบคลุมถึงเรื่อง การขายส่ง การทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Management) ซึ่งจะมีความซับซ้อนในระดับต่างๆกันไป


Business-to-Customer (B2C)


          หมายถึง ผู้ประกอบการกับผู้บริโภค (Business to Consumer - B2C) คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลง เป็นต้น



Business-to-Business-to-Customer (B2B2C)


          หมายถึง เป็นการเชื่อมต่อ B2B และ B2C เข้าด้วยกัน นั่นคือ องค์กรธุรกิจขายให้องค์กรด้วยกัน แต่องค์กรจะจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าอีกทีหนึ่ง 



Customer-to-Customer (C2C) 


          หมายถึง ผู้บริโภคกับผู้บริโภค (Consumer to Consumer - C2C) คือการติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคซึ่งมีหลายรูปแบบ และมีวัตถุประสงค์เพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ในกลุ่มคนที่มีการบริโภคเหมือนกัน หรืออาจจะทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง เช่น การขายของมือสองเป็นต้น



Customer-to-Business (C2B)


          หมายถึง ผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ คือการที่ลูกค้าระบุตัวสินค้าหรือบริการเฉพาะเจาะจงลงไปแล้วตัวองค์กรเป็นตัวจัดหาสินค้าหรือบริการให้ลูกค้า



Mobile Commerce 
 (M-Commerce) 


          หมายถึง การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการเงิน โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือการค้าขายตามระบบแนวความคิดของระบบการค้าอิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce)  ที่ใช้อุปกรณ์พกพาไร้สายเป็นเครื่องมือในการสั่งซื้อและขายสินค้าต่างๆทั้งการสั่งซื้อสินค้าที่เป็นรูปธรรม หรือนามธรรม รวมทั้งการรับ-ส่งอีเมล์ สิ่งที่น่าสนใจและเป็นจุดที่น่าศึกษา โดย M-Commerce เป็นการแตกแขนงของเทคโนโลยีที่มีผลกระทบโดยตรงต่อการขยายตัวของธุรกิจพาณิชย์อิเล็คทรอนิคส์ โดย M-Commerce จะช่วยเร่งอัตราการเติบโตให้กับการดำเนินธุรกรรมผ่านเครือข่ายอิเล็คทรอนิคส์ได้เร็วกว่าการใช้เทคโนโลยี E-Commerce  ขอบเขตของM-Commerce จะครอบคลุมทั้งการดำเนินธุรกรรมระหว่างผู้ดำเนินธุรกิจกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Business to Customer หรือ B2C) และระหว่างผู้ดำเนินธุรกิจด้วยกันเอง (Business to Business หรือ B2B)